วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558


ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกแห่งความรู้ทาง Remote Sensing : RS 

 จัดทำโดย

นายกิตติ คำพัก  รหัสนิสิต  55670096  กลุ่ม  3301

นางสาวอัจฉรา เชี่ยนมั่น  รหัสนิสิต  55670055 กลุ่ม 3301

นายพงษ์เกียรติ พานชูวงศ์ รหัสนิสิต  55670137 กลุ่ม 3301

นายชลัช พรมเทพ รหัสนิสิต  55670156  กลุ่ม  3301

นางสาวสุภาพร   กัทรี   รหัสนิสิต  55670205  กลุ่ม 3301

นางสาววณีนาฎ ฤทธิวรรณ  รหัสนิสิต  55670104 กลุ่ม  3303

           คณะภูมิสารสนเทศศาสตร์  มหาวิทยาลัยบูรพา

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

บทนำ

วิชาภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องทั้งวิทยาศาสตร์กายภาพ และวิทยาศาสตร์มนุษย์และสังคม ข้อมูลที่นำมาใช้ในการอธิบายการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ของทั้งสองด้านนั้นได้มาจากวิธีการหลายรูปแบบ และเนื่องจากวิชาภูมิศาสตร์มีความเกี่ยวข้องกับพื้นที่ ดังนั้นแผนที่จึงเป็นเครื่องมือและข้อมูลหลักในการอธิบายความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ในพื้นที่ เมื่อวิทยาการและเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้นได้มีการนำภาพถ่ายทางอากาศมาใช้ในการผลิตแผนที่ ทำให้ได้ข้อมูลและรายละเอียดในพื้นที่รวดเร็วขึ้นกว่าการเดินสำรวจแบบดั้งเดิม ดังนั้นในระยะเริ่มต้นภาพถ่ายทางอากาศจึงถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลเชิงพื้นที่ที่สำคัญทางด้านภูมิศาสตร์ จนกระทั่งปัจจุบันวิวัฒนาการในการสำรวจพื้นโลกได้ก้าวหน้าไปมาก มีการพัฒนาเพื่อใช้ดาวเทียมสำรวจพื้นโลกซึ่งครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างและให้รายละเอียดในระดับสูง อีกทั้งประสิทธิภาพในการบันทึกข้อมูลในแถบช่วงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่สายตามนุษย์มองไม่เห็นหรือใช้ฟิล์มธรรมดาบันทึกภาพไม่ได้ เช่น ช่วงคลื่นในย่าน อินฟราเรดใกล้ (Near infrared) อินฟราเรดความร้อน (Thermalinfrared) หรือ ไมโครเวฟ (Microwave) เป็นต้น จึงทำให้ได้ข้อมูลที่ยังไม่เคยทราบมาก่อนและมีประโยชน์ในการนำมาใช้วางแผนและแก้ปัญหาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และทันเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ข้อมูลที่เป็นภาพจากดาวเทียมจึงถูกนำมาใช้ในด้านภูมิศาสตร์อย่างแพร่หลาย ทั้งในด้านภูมิศาสตร์กายภาพและภูมิศาสตร์มนุษย์ ความได้เปรียบของภาพถ่ายจากดาวเทียมทำให้ เกิดประโยชน์ต่อวิชาภูมิศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง คือ การที่ภาพคลุมพื้นที่บริเวณกว้างทำให้เห็นและเข้าใจปฏิสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ในพื้นที่ได้เป็นบริเวณกว้างยิ่งขึ้น ซึ่งก่อนหน้านั้นทำได้ยากต้องอาศัยจินตนาการของนักภูมิศาสตร์เป็นอย่างมาก (ประเสริฐ, มปป.) ในปัจจุบันรีโมทเซนซิงหรือการสำรวจข้อมูลจากระยะไกล จึงเป็นวิชาหนึ่งที่สอนกันอย่างแพร่หลายในหลายหลักสูตร รวมทั้งเป็นรายวิชาบังคับในหลักสูตรภูมิศาสตร์ของหลายมหาวิทยาลัย


อ่านเพิ่มเติมที่ http://www.slideshare.net/saintja/5-451-file



คำจำกัดความและความหมายของรีโมทเซนซิง

       “รีโมทเซนซิง” (Remote Sensing) เป็นศัพท์วิชาการ ที่ใช้ครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1960 ซึ่งมีความหมายรวมถึงการทำแผนที่ การแปลภาพถ่าย ธรณีวิทยาเชิงภาพถ่าย และศาสตร์สาขาอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นคำจำกัดความของรีโมทเซนซิงในช่วงปี ค.ศ. 1960 คือ การใช้พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า” (Electromagnetic radiation) ในการบันทึกภาพสิ่งที่อยู่โดยรอบ ซึ่งสามารถนำภาพมาทำการแปลตีความ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลที่เป็นประโยชน์” (สมพร, 2543) และหลังจากปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมา การใช้คำรีโมทเซนซิงเริ่มแพร่หลายมากขึ้นตามความแตกต่างของลักษณะวิชาที่เกี่ยวข้อง นับตั้งแต่ได้มีการส่งดาวเทียม LANDSAT-1 ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติดวงแรกขึ้นในปี ค.ศ. 1972 ทำให้เทคโนโลยีภาพถ่ายทางอากาศ (Aerial Photograph) และภาพถ่ายดาวเทียม (Satellite imagery) ตลอดจนถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกี่ยวกับการได้มาซึ่งข้อมูลจากตัวรับสัญญาณระยะไกลถูกเรียกรวมกัน ว่าเป็นเทคโนโลยีรีโมทเซนซิง สำหรับคำจำกัดความของรีโมทเซนซิงมีผู้บัญญัติศัพท์ไว้ในระยะต่อมาหลากหลายมากขึ้น อย่างไรก็ตามคำจัดกัดความเหล่านั้นได้แสดงถึงแนวคิดพื้นฐานของรีโมทเซนซิง ดังนี้

       การสำรวจข้อมูลจากระยะไกล หรือ รีโมทเซนซิง (Remote sensing) เป็นวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และเทคโนโลยีแขนงหนึ่งของการได้รับข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุ พื้นที่ หรือปรากฏการณ์จากอุปกรณ์บันทึกข้อมูล (Remote sensor) โดยมิได้สัมผัสกับวัตถุหรือพื้นที่เป้าหมาย ทั้งนี้อาศัยคลื่นแสงที่เป็นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสื่อในการได้มาของข้อมูลที่แสดงคุณสมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใน 3 ลักษณะ คือ ช่วงคลื่น (Spectral) รูปทรงสัณฐานของวัตถุบนพื้นผิวโลก (Spatial) และการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา (Temporal) โดยข้อมูลที่ได้รับถูกนำมาจัดการ ทำการวิเคราะห์ และแปลตีความหมายของข้อมูล เพื่อให้ได้ผลผลิตที่สามารถนำมาใช้ตามวัตถุประสงค์ของผู้ใช้

       คุณลักษณะของวัตถุทั้ง 3 ลักษณะ คือ ช่วงคลื่น (Spectral) รูปทรงสัณฐานของวัตถุบนพื้นผิวโลก (Spatial) และการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา (Temporal) สามารถหาได้จากลักษณะของการสะท้อนหรือการแผ่พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าจากวัตถุหรือพื้นที่เป้าหมายนั้นๆ โดย วัตถุแต่ละชนิดจะมีลักษณะการสะท้อนแสงหรือการแผ่รังสีที่เฉพาะตัวและแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและช่วงระยะเวลาที่แตกต่างกัน

       อนึ่งคำว่า รีโมทเซนซิง อาจจำกัดความให้กระชับขึ้น ซึ่งหมายถึง วิธีการใช้พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (คลื่นแสงคลื่นความร้อน และคลื่นวิทยุ) สำหรับตรวจวัดคุณลักษณะเฉพาะของเป้าหมายที่ต้องการ โดยไม่มีการสัมผัสโดยตรงระหว่างอุปกรณ์ที่ใช้ตรวจวัดกับเป้าหมายที่ถูกตรวจวัด แล้วทำการบันทึกข้อมูลเก็บไว้หรือส่งผ่านไปยังเครื่องประมวลผล ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของภาพถ่ายทางอากาศ หรือภาพถ่ายดาวเทียม (วิรัตน์, 2546)

       ดังนั้นการสำรวจจากระยะไกลจึงเป็นทั้งวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และ เทคโนโลยี ที่เกี่ยวข้องกับการบันทึกข้อมูลด้วยเครื่องมือที่ใช้วัดค่าพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่สะท้อนหรือแผ่ออกจากวัตถุ (Sensor) เช่น กล้องถ่ายรูป (Camera) หรือ เครื่องกวาดภาพหลายช่วงคลื่น (Multispectral scanner) ที่ถูกติดตั้งบนยานพาหนะหรือยานสำรวจ (Platform) เช่น เครื่องบิน หรือ ดาวเทียม หลังจากนั้นข้อมูลที่ถูกบันทึกจะถูกนำมาแปลตีความ จำแนก และวิเคราะห์ เพื่อให้เข้าใจถึงวัตถุและสภาพแวดล้อมต่างๆ จากลักษณะเฉพาะตัวของการสะท้อนแสงหรือแผ่พลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า อย่างไรก็ตามตัวกลางอื่นๆ เช่น ความโน้มถ่วง คลื่นเสียง หรือสนามแม่เหล็ก ก็อาจนำมาใช้ในศาสตร์ของการสำรวจจากระยะไกลได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติมที่ http://www.slideshare.net/saintja/5-451-file

ความเป็นมาของการสำรวจทรัพยากรด้วยดาวเทียมในประเทศไทย

       ประเทศไทยได้เข้าร่วมโครงการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียมขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NASA) ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2514 และในปี พ.ศ. 2515 ได้จัดตั้ง โครงการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียมแห่งประเทศไทย” (Thailand National Remote Sensing Programme : TNRSP) โดยเริ่มให้บริการข้อมูลจากดาวเทียม ERTS-1 หรือ LANDSAT-1 ในปี พ.ศ.2515 ซึ่งโครงการฯ ดังกล่าวมีการแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วย การประสานงานการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียมและหอปฏิบัติการลอยฟ้า ซึ่งประกอบด้วยกรรมการจากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง มีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย วางแผน ประสานงาน เกี่ยวกับการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียมของประเทศไทยตลอดจนส่งเสริมสนับสนุนอุปกรณ์และการฝึกอบรมเพื่อเสริมสร้างบุคลากรในด้านการจัดการทรัพยากรต่างๆ โดยได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการต่างๆ อาทิ คณะอนุกรรมการวางแผนและติดตามผล คณะอนุกรรมการการเกษตร ป่าไม้ และการใช้ที่ดิน คณะอนุกรรมการธรณีวิทยา อุทกวิทยา สมุทรศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม คณะอนุกรรมการประสานงานการจัดตั้งสถานีรับสัญญาณจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากร และคณะอนุกรรมการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ เพื่อปฏิบัติงานและประสานงานการนำข้อมูลจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรไปประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาประเทศอย่างกว้างขวางและเป็นผลดียิ่ง เช่น ป่าไม้ การใช้ที่ดิน การแผนที่ การเกษตร ธรณีวิทยา การตรวจตราฉุกเฉิน อุทกวิทยาสมุทรศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม (รัตนา, 2545 และ สุวิทย์, 2536)

           หลังจากนั้นในปี พ.ศ. 2522 โครงการสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียมแห่งประเทศไทย ถูกยกฐานะเป็น กองสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียมเพิ่มบทบาทหน้าที่ประสานงานแลกเปลี่ยนข้อมูลดาวเทียมกับองค์การอวกาศของประเทศต่างๆ และหน่วยงานในประเทศ และในปลายปี พ.ศ. 2524 ประเทศไทยได้จัดตั้ง สถานีรับสัญญาณดาวเทียมสำรวจภาคพื้นดินเป็นแห่งแรกในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งอยู่ในเขตลาดกระบัง มีรัศมีขอบข่ายการรับสัญญาณประมาณ 2,800 กิโลเมตร ซึ่งครอบคลุม 17 ประเทศ ดังนี้ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย พม่า กัมพูชา เวียดนาม ลาว บังกลาเทศ ภูฏานเนปาล อินเดีย บรูไน ศรีลังกา ไต้หวัน สาธารณรัฐประชาซนจีน และ ฮ่องกง สถานีรับฯ นี้ สามารถรับสัญญาณจากดาวเทียม LANDSAT-3 และดาวเทียมอุตุนิยมวิทยา GMS และ NOAA

           ในปลายปี พ.ศ. 2530 สถานีรับสัญญาณดาวเทียมภาคพื้นดินได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้สามารถรับสัญญาณจากดาวเทียมรายละเอียดสูง คือ ระบบ Thematic Mapper ของดาวเทียม LANDSAT-5 ซึ่งมีรายละเอียดเชิงพื้นที่ 30 เมตร และระบบ HRV ของดาวเทียม SPOT มีรายละเอียดภาพ 20 เมตร ในภาพหลายช่วงคลื่น (Multispectral Linear Array;MLA) และ 10 เมตร ในภาพขาวดำ (Panchromatic Linear Array; PLA) รวมทั้งยังได้ปรับปรุงให้สามารถรับสัญญาณดาวเทียม MOS-1 ของญี่ปุ่นที่มีรายละเอียด 50 เมตร ในปี พ.ศ. 2535 สถานีรับสัญญาณฯ ได้พัฒนาระบบให้สามารถรับสัญญาณข้อมูลดาวเทียม NOAA ขององค์การสมุทรศาสตร์และบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NOAA) ปี พ.ศ. 2536 ได้พัฒนาปรับปรุงเพื่อรับสัญญาณและผลิตข้อมูลไมโครเวฟระบบ SAR ของดาวเทียม ERS ขององค์การอวกาศยุโรป (ESA), ดาวเทียม RADASAT ของแคนาดา และดาวเทียม IRS ของอินเดีย ดาวเทียม LANDSAT-7 ระบบ EnhanceThematic Mapper Plus (ETM+) ของสหรัฐอเมริกา


           ปัจจุบันกองสำรวจทรัพยากรธรรมชาติด้วยดาวเทียม ได้เปลี่ยนโครงสร้างของหน่วยงานไปเป็น สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน): สทอภ.หรือ GISTDA ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2543 เป็นหน่วยงานให้บริการข้อมูลจากดาวเทียมแบบครบวงจร โดยเริ่มตั้งแต่รับสัญญาณโดยตรงจากดาวเทียม บันทึกไว้ในคลังข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล การบริการภาพและคำแนะนำปรึกษา การถ่ายทอดเทคโนโลยี และให้ทุนเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ รวมทั้งเป็นเครือข่ายในการรับสัญญาณของดาวเทียม LANDSAT, IRS และ RADASAT บริการข้อมูล MODIS จากดาวเทียม TERRA และให้บริการข้อมูลดาวเทียม LANDSAT-5, SPOT, JERS, NOAA ซึ่งถูกเก็บอยู่ในคลังข้อมูล สำหรับสถานภาพในปัจจุบันของสถานีรับสัญญาณดาวเทียมภาคพื้นดิน สามารถรับสัญญาณข้อมูลจากดาวเทียม LANDSAT-7, IRS-1C และ RADASAT-1 นอกจากนี้สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเซียได้จัดตั้งระบบรับสัญญาณข้อมูลจากดาวเทียม TERRA/MODIS และองค์กร SI SEA สามารถรับข้อมูลจากดาวเทียมรายละเอียดสูง IKONOS ได้ในปัจจุบัน (รัตนา, 2545 และ สุวิทย์, 2536)



                            ขอบเขตรับสัญญาณจากดาวเทียม LANDSAT-5 ของสถานีรับสัญญาณภาคพื้นดินของประเทศไทย



ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ, 2534



ดาวเทียมไทยคมดาวเทียมดวงแรกของไทย ถูกส่งขึ้นวงโคจร

      18 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ดาวเทียมไทยคม (THAICOM) ดาวเทียมดวงแรกของไทย ถูกส่งขึ้นวงโคจร จากฐานส่งของบริษัท แอเรียนสเปซ (Arianespace) แห่งฝรั่งเศส ที่เมืองคูรู (Kourou) ประเทศเฟรนช์ เกียนา (French Guiana) ทวีปอเมริกาใต้ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานชื่อ “ไทยคม” เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2534 โดยมาจากคำว่า ไทยคม (นาคม) สร้างโดยบริษัท ฮิวจ์ แอร์คราฟท์ (Hughes Aircraff) สหรัฐอเมริกา สามารถถ่ายทอดได้ทั้งสัญญาณโทรทัศน์ วิทยุกระจายเสียง โทรศัพท์ และการสื่อสารข้อมูล ต่อมาได้ชื่อใหม่เป็น “ดาวเทียมไทยคม 1A” ปัจจุบันได้มีดาวเทียมไทยคมทั้งหมด 3 ดวงคือมี ดาวเทียมไทยคม 2 และไทยคม 3 เจ้าของคือกลุ่มชินคอร์ป ซึ่งต่อมาได้ขายหุ้นให้กลุ่มเทมาเสก ของสิงค์โปร์ ดังนั้นเจ้าของเครือข่ายดาวเทียมไทยคมก็คือนายทุนจากสิงคโปร์




อ่านเพิ่มเติมที่ http://guru.sanook.com/25732/

กระบวนการของการสำรวจข้อมูลจากระยะไกล

กระบวนการของการสำรวจจากระยะไกลประกอบด้วย 2 กระบวนการหลัก  คือการศึกษาเกี่ยวกับระบบการรับหรือการเก็บข้อมูล (Data Acquisition) และการศึกษาเกี่ยวกับการวิเคราะห์ (Data Analysis) หรือ การใช้ประโยชน์จากข้อมูลที่บันทึกไว้ โดยทั้งสองกระบวนการมีองค์ประกอบ ดังนี้

1) ระบบการรับข้อมูล (Data Acquisition) เป็นกระบวนการที่ได้มาซึ่งข้อมูลจากระยะไกล โดยเกิดจากองค์ประกอบที่สำคัญดังนี้
(1) แหล่งพลังงานและการแผ่รังสี (Energy Sources and Radiation) ที่ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งมีทั้งแหล่งพลังงานตามธรรมชาติ (ดวงอาทิตย์) และ แหล่งพลังงานที่มนุษย์สร้างขึ้นมา (ระบบ RADAR หรือ ระบบ SONAR)
(2) การถ่ายทอดพลังงานในชั้นบรรยากาศ (Propagation of Energy through the Atmosphere) เป็นปฏิสัมพันธ์ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ากับชั้นบรรยากาศที่เป็นข้อจำกัดในบางช่วงคลื่นที่ไม่สามารถส่งผ่านมาจนถึงพื้นผิวโลกได้ทั้งหมด เพราะถูกดูดกลืนในชั้นบรรยากาศได้ทั้งหมด เช่น รังสีในย่านอุตราไวโอเลต (Ultraviolet) ถูกดูดกลืนโดยโอโซน (Ozone: O3) ในบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์
 (3) ปฏิสัมพันธ์ของพลังงานกับพื้นผิวโลก (Energy Interaction with Earth Surface Features) เป็นลักษณะของวัตถุต่างชนิดที่มีการสะท้อน การดูดซับ การส่งผ่าน การแผ่รังสี และการกระจัดกระจายกลับ ของพลังงานคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แตกต่างกันในแต่ละช่วงคลื่นและช่วงเวลา ซึ่งลักษณะดังกล่าวเป็นประโยชน์ต่อการนำมาแยกแยะวัตถุบนพื้นผิวโลกที่แสดงคุณสมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แตกต่างกัน
(4) อุปกรณ์บันทึกข้อมูล (Airborne and/or Spaceborne Sensor) เป็นเครื่องมือที่รับและบันทึกสัญญาณแม่เหล็กไฟฟ้าที่สะท้อน (Reflection) แผ่รังสีความร้อน (Emission) หรือกระจัดกระจายกลับ (Backscatter) จากวัตถุเป้าหมาย แล้วส่งกลับมายังสถานีรับบนพื้นโลก และแปลงสัญญาณนั้นเป็นข้อมูลเชิงเลข (Digital data) หรือ ข้อมูลภาพ (Image data) ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาปรับแก้ขั้นต้นเพื่อลดหรือขจัดความคลาดเคลื่อนทางเรขาคณิต และความบกพร่องของสัญญาณที่ได้รับ ณ สถานีรับสัญญาณก่อนที่จะนำข้อมูลภาพไปเผยแพร่สู่ผู้ใช้งานต่อไป
(5) ผลิตภัณฑ์ข้อมูลในรูปข้อมูลภาพหรือข้อมูลเชิงเลข (Sensor Data in Pictorial and/or DigitalForm) เป็นผลผลิตของข้อมูลที่จะเผยแพร่หรือจำหน่าย ซึ่งมีทั้งอยู่ในรูปข้อมูลเชิงเลข (Soft copy) ซึ่งนำมาใช้ร่วมกับระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลภาพกระดาษ (Hard copy) ที่อาจอยู่ในรูปแบบแผนที่ภาพถ่ายจากดาวเทียม (Satellite image map) หรือ ข้อมูลแผ่นภาพพิมพ์ในมาตราส่วนต่าง ๆ



2) ระบบการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analysis)
(1) การแปลตีความภาพด้วยสายตาหรือการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ (Visual Interpretation and Data Computer Analysis) เป็นการแปลตีความหรือใช้คอมพิวเตอร์ในการวิเคราะห์ข้อมูลภาพจากดาวเทียม เพื่อสกัดข้อมูลหรือสิ่งที่ต้องการตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
(2) ผลิตภัณฑ์สารสนเทศ (Information Product) เป็นผลผลิตที่ได้จากการแปลตีความหรือการวิเคราะห์ด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของผลผลิตที่ได้นั้น ก่อนนำไปใช้งาน โดยทำการเปรียบเทียบกับสภาพจริงหรือข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ โดยวิธีทางสถิติ

3) ผู้ใช้ (User) เป็นผู้ที่นำผลิตภัณฑ์สารสนเทศที่อยู่ในรูปข้อมูลภาพหรือข้อมูลเชิงเลข ไปประยุกต์ใช้ตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ อาทิ เช่น ผลการแปลตีความการใช้ประโยชน์ที่ดินจากภาพถ่ายดาวเทียมในหลายช่วงเวลา ผู้ใช้สามารถนำมาใช้เพื่อติดตามตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของปรากฏการณ์ต่างๆ เช่น การขยายตัวของพื้นที่อุตสาหกรรม หรือ การบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ เป็นต้น



อ่านเพิ่มเติมที่ http://www.slideshare.net/saintja/5-451-file

ประเภทของระบบการสำรวจข้อมูลจากระยะไกล

     ระบบรีโมทเซนซิงสามารถจำแนกตามแหล่งกำเนิดพลังงาน ออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก คือ

(1) Passive remote sensing
     Passive remote sensing เป็นระบบรีโมทเซนซิงที่ใช้ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงปัจจุบัน โดยมีดวงอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานตามธรรมชาติ ระบบนี้จึงรับสัญญาณและบันทึกข้อมูลได้ในช่วงเวลากลางวันเป็นส่วนใหญ่ ด้วยการอาศัยการสะท้อนพลังงานของวัตถุบนพื้นโลกด้วยแสงอาทิตย์ ดังนั้นระบบนี้จึงมีข้อจำกัดด้านสภาวะอากาศ ทำให้ไม่สามารถบันทึกข้อมูลได้ดีในช่วงฤดูฝน หรือในช่วงเวลาที่มีเมฆ หมอกปกคลุมอย่างหนาแน่น อย่างไรก็ตามระบบนี้สามารถบันทึกข้อมูลในช่วงคลื่นอินฟราเรดความร้อน (Thermal Infrared) ซึ่งเป็นการแผ่พลังงานความร้อน (Emission) จากวัตถุบนพื้นผิวโลกในเวลากลางคืนได้

(2) Active remote sensing
     Active remote sensing เป็นระบบรีโมทเซนซิงที่มีแหล่งกำเนิดพลังงานจากการสร้างขึ้นของอุปกรณ์สำรวจในช่วงคลื่นไมโครเวฟ ที่นำมาใช้ในระบบเรดาร์ (Radio Detector and Ranging) โดยส่งผ่านพลังงานนั้นไปยังพื้นที่เป้าหมายและบันทึกสัญญาณการกระจัดกระจายกลับ (Backscatter) จากพื้นที่เป้าหมาย ระบบนี้สามารถทำงานได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลาและสภาพภูมิอากาศ ทั้งยังสามารถส่งสัญญาณทะลุผ่านกลุ่มเมฆ หมอก ฝน ทำให้สามารถบันทึกสัญญาณได้ทั้งเวลากลางวันและกลางคืนในทุกฤดูกาล